วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พลู มหัศจรรย์แก้ปวดศีรษะจากความเครียด


         ห่างหายกันไปหลายวัน  วันนี้ก็เลยนำความมหัศจรรย์ของพรรณไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างที่หลายคนไม่ีเคยรู้มาก่อน  นั่่นก็คือ "พลู"  โดยเฉพาะส่วนใบสด  ที่สามารถช่วยแก้ปวดศีรษะที่เกิดจากความเครียดได้  ความเครียดเกิดได้จากหลายสาเหตุ  เป็นแล้วทำให้มีอาการปวดศีรษะรุนแรงตามมาด้วย  บางคนมีอาการบ่อยหรือเป็นประจำทำให้มีอารมณ์หงุดหงิด  ต้องกินยาคลายเครียดหรือยาแก้ปวดจึงจะหายได้  ในทางสมุนไพร  มีวิธีแก้อาการปวดศีรษะเพราะความเครียดได้  คือให้เอา  ใบพลูสด  หั่นเป็นฝอยคั่วให้แห้งชงกับน้ำร้อนดื่มแทนน้ำชา  หรือใบพลูที่คั่วแห้งแล้วดังกล่าวหนึ่งหยิบมือ  หรือประมาณ  5 กรัม  ต้มกับน้ำ  1  ลิตร  ต้มจนเดือดมองเห็นเนื้อยาละลายออกมา  ดื่มวันละ  3-4  ครั้ง  ครั้งละแก้ว  จะช่วยทำให้อาการปวดศีรษะเพราะความเครียดหายได้  พลู  หรือ  BETEL  VINE  PIPER  BETLE  LINN.  อยู่ในวงศ์  PIPERACEAE  เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง  ใบเป็นใบเดี่ยว  ออกเรียงสลับ  รูปหัวใจ  ใบมีกลิ่นเฉพาะตัว  และมีรสเผ็ด  ดอก  ออกที่ซอกใบ  ดอกย่อยขนาดเล็กอัดกันแน่นเป็นรูปทรงกระบอก  แยกเพศ  สีขาว  "ผล"  รูปทรงกลมเบียดกันอยู่บนแกนช่อ  ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด, ปักชำต้น,  ซึ่งพลู  มีหลายสายพันธุ์  เช่น  พลูเหลือง  หรือ  พลูทองหลาง  เป็นต้น  ประโยชน์น้ำคั้นจาก  ใบพลูสด  กินเป็นยาขับลมและทาแก้ลมพิษ  โดยใช้  3-4  ใบ  ขยี้หรือตำให้ละเอียดผสมเหล้าขาว  40 ดีกรี  เพียงเล็กน้อย  ทาบริเวณที่เป็น  ใบมีน้ำมันหอมระเหย  ประกอบด้วยสาร  CHAVICOL  และ  EUGENOL  มีฤทธิ์ทำให้ชาเฉพาะที่  สามารถเบาเทาอาการคันและฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้  ในปัจจุบัน  มีการพัฒนาเป็นตำรับยาขึ้ผึ้งผสมสารสกัด  "ใบพลูสด"  ขึ้นเพื่อใช้เป็นยาทารักษาโรคผิวหนังบางชนิด....

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เท้ายายม่อม มหัศจรรย์แก้เบื่ออาหารอ่อนเพลีย!!!


         มาพบกันอีกแล้ัวนะครับ และในวันนี้ก็จะได้มานำเสนอความมหัศจรรย์ของพรรณพืชอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ  คือ เท้ายายม่อม และพืชชนิดนี้หลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว แต่อาจจะรู้จักกันในเฉพาะของการนำไปใช้่ในการประกอบอาหารซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วนอกจากการนำไปใช้ประกอบอาหารแล้วยังมีสรรพคุณทางยาได้อีกด้วย เราลองมาทำความรู้จักกันนะครับ  คนทั่วๆไปตามชนบทมักจะรู้จักกันดี กับเท้ายายม่อม เนื่องจากมีขึ้นทั่วไปตามป่าิดิบชื้นทุึกภาคของประเทศไทยและมักจะขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หรือขึ้นเป็นดงจำนวนมาก ชาวบ้านในยุคสมัยก่อนนิยมขุดเอาหัวไปทำแป้ัง เรียกว่า WILLIAM'S ARROW ROOT เพื่อใช้ปรุงเป็นอาหาร หรือแปรรูปทำเป็นขนมหลายอย่างรับประทานอร่อยมาก ซึ่งในยุคโบราณนิยมกันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันบางพื้นที่ยังนิยมกันอยู่้ แต่ก็เหลือน้อยมากเนื่องจาก เท้ายายม่อม หายากนั่นเอง เท้ายายม่อม นอกจากจะใช้หัวทำแป้งปรุงอาหารได้แล้ว ในทางสมุนไพรก็ยังมีสรรพคุณดีอีกด้วย โดยในตำรายาแผนไทยระบุว่า แป้งที่ทำขึ้นจากหัวของ เท้ายายม่อม สามารถเอาไปละลายกับน้ำแล้วใส่น้ำตาลกรวดพอประมาณตั้งไฟอ่อนๆ กวนจนแป้งสุกให้คนไข้ที่เกิดอาการเบื่ออาหารจนทำให้รู้สึุกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงกิน จะช่วยให้มีอาการดีขึ้น และรู้สึกกระชุ่่มกระชวย กินเข้าได้และหายอ่อนเพลียได้อย่างเหลือเชื่อ  เท้ายายม่อม หรือ TACCALEONTOPETALOIDES (L.) KUNTZE อยู่ในวงศ์ TACCACEAE เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีหัวรูปทรงกลม หรือรูปกลมรีใต้ดิน ต้นและใบแทงขึ้นจากหัุวใต้ดิน ใบเป็นรูปรีขอบใบเป็นแฉก ก้านใบยาว ใบเป็นสีเขียวสด  ดอก ออกเป็นช่อแทงขึ้นจากซอกใบ 1-2 ช่อ ช่อยาวประมาณ 170 ซม. แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 20-40 ดอก ดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง มีกลีบดอก 6 กลีบ เรียงซ้อนกันเป็น 2 ชั้น มีเกสรตัวผู้ 6 อัน ปลายแผ่เป็นแผ่น ก้านเกสรตัวเมียสั้น ปลายแยกเป็น 3 แฉก ผล มีเนื้อหุ้มใน 1 ผล จะมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดเป็นรูปเกือบกลม หรือรีห้อยลง เป็นไม้เจริญงอกงามในช่วงฤดูฝน ทรุดโทรมหรือตายในช่วงฤดูแล้ง แต่จะฝังหังไว้ใต้ดินเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนมีฝนตกโปรยลงมา หัวเท้ายายม่อม ก็จะแทงต้นและใบขึ้นมาอีกครั้งเป็นวัฎจักรทุกๆปี ขยายพันธุ์ด้วยหัว และหัวจะประกอบด้วยแป้งเป็นจำนวนมาก นอกจากเท้ายายม่อมแล้ว ยังมีชื่ออื่นเรียกอีก คือ ไม้เท้าฤๅษี (ภาคกลาง), สิงโตดำ (กรุงเทพฯ) และบุกรอ (ตราด)  เป็นยังไงบ้างครับกับเท้ายายม่อม ว่ามีประโยชน์มากมายยังไง กินก็ได้รักษาอาการเบื่ออาหารก็ได้ใครจะลองนำไปไช้ดูก็ได้นะครับ...

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สาบเสือ มหัศจรรย์แก้โรคไต!!!


         เรามาติดตามกันต่อนะครับ คราวนี้ก็จะนำเสนอความมหัศจรรย์ของพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีชือว่า      สาบเสือ กันนะครับ สาบเสือ หรือ CHROMOLAENA ODORATA (LINN.) KING ET ROBINS. (EUPATORIUM ODORATUM LINN.) อยู่ในวงศ์ ASTERACEAE มีขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก อายุปีเดียว นิยมปลูกเฉพาะตามสวนสมุนไพรเท่านั้น ใบ ตำผสมปูนพอกห้ามเลือด ตำปิดแผล เป็นยาสมานแผล ต้นมีกลิ่นแรงใช้ทำยาฆ่าแมลง ถ้าใช้แต่น้อยเป็นน้ำหอมได้ ราก ผสมรากมะนาว รากย่านางต้มน้ำดื่มแก้ใข้ป่าได้ ใบ ตำผสมเกลือป่นเล็กน้อยพอกแผลห้ามเลือด ใบและดอก ตำบีบน้ำทาห้ามเลือด สาร 4,5,6,7 TETRAMETHOXYFLAVONE และแคลเซียมที่พบในใบทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็ว  สารสกัดจากกิ่งและใบด้วยคลอโรฟอร์ม และ อะซีโตน มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย STAPHYLOCOCCUS AUREUS และ BACILLUS SUBTILIS ซึ่งทำให้เิกิดหนอง  ส่วนใครที่เพิ่งจะรู้ตัวเองว่ามีอาการของไตไม่ดี หรือ เริ่มเข้าสู่การเป็นโรคไตขั้นแรกที่ยังไม่รุนแรง ในทางสมุนไพรยังพอช่วยได้ โดยให้เอา ต้นและใบของ สาบเสือ ไม่รวมราก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแห้ง นำไปคั่วไฟอ่อนๆ จนให้มีกลิ่นหอมโชยขึ้นจมูก ผึ่งให้เย็นชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นน้ำชา 3 เวลา เช้า กลางวัน และเย็น ครั้งละ 1 แก้ว ชงดื่มทุกวัน จะช่วยให้อาการของโรคไตขั้นแรกค่อยๆ ดีขึ้นหรืออาจหายได้เลยครับ....

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พริกขึ้หนูสีม่วง มหัศจรรย์กินก็ได้ประดับก็สวย!!!


         วันนี้ก็อีกเช่นเคย เราจะมานำเสนอความมหัศจรรย์ของพรรณไม้อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งกินก็ได้ประดับก็สวย นั้นก็คือ พริกขี้หนูสีม่วง บางคนคิดว่าพริกขี้หนูสีม่วงนั้นเป็นไม้ประดับได้เีพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จริงๆแล้วพริกขี้หนูสีม่วงนั้นกินได้ครับ กินได้เหมือนพริกขี้หนูทั่วๆไปเลย ประวัติความเป็นมาของพริกขี้หนูสีม่วงนั้นถูกบอกเล่ากันว่า เป็นพริกที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ นานกว่า 2-3 ปีแล้ว โดยนำเข้ามาในลักษณะเป็นเมล็ดแล้วจำหน่ายให้เกษตรกรที่มีอาชีพเพาะขยายพันธุ์ แน่เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ยังคงยึดติดอยู่กับพริกขี้หนูสวน หรือพริกขี้หนูที่มีผลเป็นสีเขียวกับสีแดงเท่านั้น ทำให้พริกขี้หนูสีม่วงไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่พริกขี้หนูสีม่วงนั้นกินได้และมีรสเผ็ดเหมือนกับพริกขี้หนูสวนที่มีสีเขียว สีแดงทุกอย่าง จึงทำให้ พริกขี้หนูสีม่วงถูกซื้อไปเป็นไม้ประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น  พริกขี้หนูสีม่วงนั้น เป็นพืชอยู่ในวงศ์ SOLANACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับพริกขี้หนูทั่วไป คือ เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.3-1.2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ใบมีขนาดใหญ่ ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียว ปนสีม่วงเห็นชัดเจน  ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 2-5 ดอก ตามซอกใบและปลายกิ่ง ก้านดอกยาว 1.5-2 ซม. กลีบเลี้ยงเชื่อมกัน ปลายตัดหรือแยกเป็นหยัก 5 หยัก และจะยังคงอยู่จนดอกกลายเป็นผล กลีบดอกโคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เป็นสีม่วง เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ผล รูปกลมยาว ปลายเรียวแหลมเหมือนพริกขี้หนูทั่วไป แต่จะมีขนาดใหญ่เท่ากับพริกกะเหรี่ยง สีผลเป็นสีม่วงเข้ม ภายในมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก รสชาติเผ็ดเหมือนกับพริกขี้หนูทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปลูกได้ในดินทั่วไป ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำชุ่ม ดังนั้น หลังปลูกจึงควรรดน้ำเพียงวันละครั้งในตอนเช้า และหมั่นใส่ปุ๋ยคอกโรยตามหน้าดินเล็กน้อยเพียงเดือนละครั้ง จะทำให้มีผลดกสีสันสวยงามเก็บกินก็ได้ครับ...

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไผ่มันหมู มหัศจรรย์ความอร่่อยและมีประโยชน์!!!


         วันนี้เรามาติดตามกันต่อเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของพรรณไม้  และในวันนี้ก็จะมานำเสนอเกี่ยวกับพรรณไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีคุณประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและเป็นยาได้ด้วย ซึ่งก็คือ "ไผ่มันหมู" ไผ่มันหมู หรือที่บางคนเรียกว่า ไผ่่เป๊าะ คนนิยมนำมารับประทานกันมาช้านานแล้ว พบขึ้นทั่วไปตามป่าธรรมชาติตั้งแต่ภาคเหนือ จ.แม่ฮ่องสอนเรื่อยลงมาจนถึงภาคกลางแถบ จ.กาญจนบุรี ในบางพื้นที่นิยมปลูกเพื่อเก็บหน่อขายเป็นอาชีพเพราะได้รับความนิยมมากจากผู้รับประทานอย่างแพร่หลาย  โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เนื่องจากหน่อสดของ ไผ่มันหมู หรือ ไผ่เป๊าะ จะมีรสหวานนำไปต้มกับน้ำคั้นใบย่านางกินเป็นผักจิ้มน้ำพริกอีแก๋ น้ำพริกกะปิ และน้ำปรู๋ ทำแกงเปรอะ แกงรวมกับเห็ดทอบใส่แคบหมู แกงกับไก่ ปลา หรือเนื้อ อร่อยมาก ประโยชน์ทางยา ใบ ของไผ่มันหมู ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ขับและฟอกโลหิตระดูที่เสีย แก้มดลูกอักเสบ    ตาไผ่ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ราก ขับปัสสาวะ และแก้ไตพิการ

ไผ่มันหมู หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักคือ ไผ่เป๊าะ มีชื่อวิทยาศาสตร์ DENDROCALAMUSGIGANTRUS MUNRO อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ตระกูลหญ้า ลำต้นตรงสูง 25-30 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางต้น 20-25 ซม. เนื้อหนาประมาณ 2-3 ซม. ตอนกลางลำต้นไม่มีกิ่ง ตอนปลายลำเป็นสีเขียวอมเทาคล้ายกับมีขี้ผึ้งสีขาวคลุมทั่ว ข้อตอนกลางมีขนและมีรอยราก หน่อมีขนาดใหญ่แต่ไม่ยาว เนื้อหน่อเป็นสีขาว รสชาติหวาน ปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายชนิด ใบเรียวแหลม โคนใบทู่เป็นมุมป้าน ยาว 15-45 ซม. กว้าง 3-6 ซม. หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน ขอบใบคมสากมือ ก้านใบสั้นเวลาแตกต้อนเป็นกอขนาดใหญ่หลายๆ ต้น จะให้ร่มเงาดีมาก เนื้อไม้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง หรือแปรรูปหลายรูปแบบ ดอก เป็นช่อ มีกาบหุ้มเหมือนหญ้า  เมื่อต้นไผ่มีดอกและดอกแห้งแล้ว ต้นมักจะตายเรียกว่า ไผ่ตายขุย เมล็ดมีขนาดเล็กคล้ายเมล็ดข้าวสาร ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง ซึ่งไผ่มันหมู หรือ ไผ่เป๊าะจะแทงหน่อให้เก็บรับประทานในช่วงหน้าฝน มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ คือ ไผ่โปก ไผ่หวาน เป็นอย่างไรบ้างครับกับความรู้ที่นำมาเสนอ ผู้อ่านพอคงจะได้รับความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของพืชหลายๆชนิดเพิ่มมากขึ้น และนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมายในชีวิตประจำวันได้นะครับ...

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พูลคาว มหัศจรรย์้ต้านมะเร็ง!!!




         กลับมาพบกันอีกคราวนี้เราจะมานำเสนอเกี่ยวกับพรรณไม้มหัศจรรย์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า "พลูคาว" กันนะครับ พลูคาว นั้นเป็นพืชล้มลุกมีอายุหลายปี เป็นพืชอยู่ในวงศ์  SAURURACEAE ต้นมีความสูง 15-30 ซม. ทั้งต้นมีกลิ่นคาวแรงมาก ลำต้นและใบมีสีเขียวเป็นข้อๆ ลำต้นจะทอดเลื้อยไปตามหน้าดิน สามารถแตกรากออกตามข้อต้นได้  ใบเป็นใบเดี่ยว  ออกเรียงสลับ เป็่นรูปหัวใจ โคนก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้นบริเวณข้อ  ดอก ออกที่ปลายยอด มีใบประดับสีขาว 4 ใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีขาวจำนวนมาก ลักษณะดอกไม่มีกลีบดอกและก้านดอก ผล ทรงกลมเมื่อผลแห้งแตกได้มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก  ต้นและใบนำมากินเป็นอาหารได้นิยมกันแพร่หลายทางภาคเหนือ โดยกินเป็นผักสดกับลู่เลือด ลาบ ก้อยดิบ น้ำพริกชนิดต่างๆ เมื่อเคี้ยวหรือขยี้จะมีกลิ่นคาวรุนแรงมาก คนไม่ค่อยคุ้นเคยจะไม่กล้ิากินอย่างเด็ดขาด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและปักชำกิ่ง  พลูคาว ชนิืดที่ลำต้นและใบเป็นสีเขียวนี้ นักวิัจัยจาก 5 สถาบันระบุว่า เส้นกระดูกหลังใบที่เป็นสีแดงมีสาร "เฮลตี้แบคทีเรีย" มีจุลินทรีย์ และ "แอดโตแบซิลลัส" ชนิดหนึ่งที่ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันหยุดการเจริญเติบโตในร่างกายของมนุษย์ โดยต้านทานเนื้องอก ให้ทำงานง่ายขึ้น พร้อมขับพิษที่จะเป็นสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย โดยนักวิจัยจาก 5 สถาบันได้สกัดเป็นยาทดลองให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง 5 ชนิด  คือ  มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก เนื้องอกบริเวณสมอง และเนื้องอกของ "SOFT TISSUE SARCOMA." โดยให้ดื่มบำรุงกำลังควบคู่กับการรักษาของคณะแพทย์ด้วยการฉายรังสี ปรากฎว่า ผู้ป่วยหายเร็วกว่าการรักษาแบบปกติหรือแบบเดิม ดังนั้น พลูคาว จึงถือว่าเป็นพืชผักกินได้ที่มีคุณประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล แต่อย่างไรก็ตาม พลูคาว ยังมีอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า พลูคาวแดง ซึ่งมีข้อแตกต่างจากชนิดแรกที่เป็นสีเขียวเพียงจุดเดียว คือ ลำต้นและกิ่งก้านเป็นสีแดงอมม่วง อย่างอื่นเหมือนกันหมด ซึ่ง พลูคาวแดง ในใบจะมีสรรพคุณแก้กามโรค ทำให้น้ำเหลืองแห้ง แก้โรคผิวหนังทุึกชนิดได้ ในตำราจีนใช้ทั้งต้นเป็นยาขับปัสสาวะ ฆ่าเชื้อทางเดินปัสสาวะ คนไทยภาคเหนือกิน พลูคาว ป้องกันมะเร็งมานานแล้ว เห็นหรือไม่ครับว่าภูมิปัญญาไทยสมัยก่อนนั้นสุดยอดขนาดไหน รู้จักวิธีป้องกันรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยพืชสมุนไพรกันมานานแล้ว และได้ผลเป็นอย่างดีอีกด้วย หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะได้ประโยชน์บ้างจากความรู้ที่ได้นำมาเสนอนี้ และในตอนต่อไปจะมานำเสนอพืชมหัศจรรย์็ชนิดไหนลองมาติดตามกันดูนะครับ จากบล็อก "มหัศจรรย์พรรณไม้"...

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หญ้าขัดมอญ มหัศจรรย์มากกว่าคำว่าหญ้า!!!


          มาต่อกันในตอนนี้ เราจะมานำเสนอเกี่ยวกับมหัศจรรย์พรรณไม้อีกชนิดหนึ่ง คือ หญ้าขัดมอญ หลายคนคงเคยเห็นแล้วว่าหญ้าขัดมอญเป็นอย่างไร แต่อีกหลายๆคนคงยังไม่เคยเห็น หรือบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จักมา่ก่อนเลยก็ได้ วันนี้เราจะรู้จักกับหญ้าขัดมอญกัน หญ้าขัดมอญ มักจะขึ้นอยู่ตามที่รกร้างข้างทางทั่่วไป ลักษณะเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1 เมตร ใบมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ใบแหลม และ ใบรี ขอบใบหยักเหมือนกัน ดอกเป็นสีเหลือง

ลำต้นและกิ่งก้านเหนียวมาก สมัยก่อนนิยมถอนทั้งต้นมัดรวมกัน 2-3 ต้น ผูกติดปลายไม้ยาวทำเป็นไม้กวาดลานวัด ลานบ้านทนทานเป็นเดือน เปลือกลอกเอาไปทำเป็นเชือกผูกสิ่งของเหนียวมากด้วย ตามหลักทั่วไปได้มีการแยกหญ้าขัดมอญออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะของรูปใบ คือ หญ้าขัดมอญใบแหลม ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า SIDA ACUTA BURM.F. อยู่ในวงศ์ MALVACEAE มีชื่อรอง คือ หญ้าข้อ (ภาคเหนือ), ยุงปัด (ภาคกลาง), มีสรรพคุณคือ ราก ใช้ต้มน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แก้ท้องผูกได้ ส่วนใบ นำมาตำคั้นน้ำทาหรือเอากากพอกสิว แก้ตุ่ม หนอง ได้ดีอีกเช่นกัน ส่วนหญ้าขัดมอญอีกชนิดหนึ่งคือ หญ้าขัดมอญ ใบรี หรือ SIDA RHOMBIFOLIA LINN. อยู่ในวงศ์ MALVACEAE ชื่อรองคือ ขัดมอญ, หญ้าขัด (ภาคกลาง), หญ้ายุงปัดแม่ม่าย (กทม.) นิยมใช้รากนำมาเป็นยาสมุนไพร มีสรรพคุณใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่ดีและเด่นในด้านการขับปัสสาวะ และนำไปเข้ากับยาอื่นซึ่งจะได้สรรพคุณทางยาอีกมากมายด้วย นอกจากนี้ยังเอาทั้งต้น ต้มรวมกับหัวกระชายป่าที่ได้นำเสนอไปในตอนที่แล้วนี้ ต้มแล้วดื่มก่อนนอนวันและแ้ก้ว อาทิตย์ละ 3 วัน ช่วยบำรุงกำหนัดแก้กามตายด้านได้อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กระชายป่า มหัศจรรย์บำรุงกำหนัดกามตายด้าน


         วันนี้เราจะมานำเสนอมหัศจรรย์พรรณไม้ เกี่ยวกับ"กระชายป่า" กระชายป่า หรือ BOESENBERGRASP. อยู่ในวงศ์  ZINGIBERACEAE  มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ใกล้เคียงกับกระชายบ้่านเกือบทุกอย่างเลยทีเดียว  เพียงแต่เนื้อในของหัว กระชายป่า จะเป็นสีเหลืองเข้มกว่า กลิ่นหอมกว่าและรสเผ็ดกว่า  พบได้เกือบทุกที่ในประเทศไทย พบมากที่สุดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  สรรพคุณของกระชายป่า  ในตำรายาไทยโบราณระบุไว้ว่า ให้เอาหัวกระชายป่าแบบสดๆ กับใบหญ้าขัดมอญ แบบสดๆเหมือนกัน จำนวนเท่าๆกันตามที่เราต้องการ นำมาต้มรวมกับน้ำท่วมยาจนเดือด แล้วดื่มต่างน้ำชาดื่มกันเป็นประจำ จะมีสรรพคุณเป็นยาช่วยบำรุงกำหนัด และ แก้กามตายด้านได้ดีอีกด้วย  นอกจากนั้น หัวสดๆ ยังใช้ดองกับเหล้าขาว 40 ดีกรี ดื่มวันละ 25 แก้วเป๊ก  ก่อนและหลังอาหารมื้อเย็นเป็นประจำ จะมีสรรพคุณช่วยชูกำลัง  แก้กษัย ขับลม  แก้ปวดมวนในท้อง นอกจากนี้หัวสดนำมาเคี้ยวอมแก้อาการปากเปื่อย ปากแห้ง ปากเป็นแผลเพราะร้อนในได้ ส่วนรากสดๆ 1 กำมือ นำมาตำให้ละเอียดต้มเอาแต่น้ำนำมาผสมกับน้ำผึ้งกินก่อนอาหารเย็น มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะทำให้ร่างกายแข็งแรงกระชุ่มกระชวย  หัว ของกระชายป่านำไปตากแห้งแล้วบดให้ละเอียดเป็นผงตัก 1 ช้อน ชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นยา บำรุงหัวใจให้เต้นสม่ำเสมอ ส่วนรากสด กินทั้งเปลือกวันละ 3 มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที กิน 3 วัน จะช่วยบำบัดโรคกระเพาะอาหาร  ราก และ หัว ของกระชายป่า มีน้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย สารไพนิน เมอร์ซิน บอร์นิออล และ การบูร ซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายมหาศาล เห็นหรือยังครับว่า พืชพรรณไม้เหมือนจะธรรมดาๆ แต่กลับมีคุณประโยชน์และสรรพคุณมากมายขนาดไหน รู้อย่างนี้แล้วเราลองหันมาใช้ประโยชน์และสรรพคูณจากพืชพรรณไม้เหล่านี้กันดีกว่าครับ...

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดตัวและแนะนำเว็บบล็อก!!!


          ก่อนอื่นต้องขอกล่าวสวัสดีถึงผู้ที่ได้เข้ามาอ่านเว็บบล็อกนี้ บล็อกนี้จะขอนำเสนอความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของพรรณไม้นานาชนิด ที่หลายๆคนอาจยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ หรือสรรพคุณมากมายขนาดไหน ต้นไม้บางชนิดบางคนคิดว่าเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดาๆ ต้นหนึ่งเท่านั้น หรือเป็นแค่ต้นไม้ประดับ หรืออาจเป็นแ่ค่ต้นหญ้าหรือต้นไม้่ริมทางเท่านั้น แต่หารู้ไม่่ว่าจริงๆแล้วต้นไม้เหล่านั้นมีคุณประโยชน์หรือสรรพคุณมากมายอย่างที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน เราจะพยายามค้นหานำเสนอข้อมูลเหล่านี้มาให้ทุกคนได้เข้ามาอ่านรับรู้ และนำไปใช้ประโยชน์กับตัวเองและผุ้อื่นได้  ในตอนหน้าเราจะมานำเสนอเีกี่ยวกับพรรณไม้ชนิดใดลองเข้ามาติดตามกันดูนะครับ...